เทศน์พระ

มีเงาหัว

๑๗ ธ.ค. ๒๕๕๖

 

มีเงาหัว
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๖
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมเนาะ ฟังธรรมเพื่อเตือนหัวใจ หัวใจของเราแท้ๆ เราเองควบคุมไม่ได้ ความรู้สึกนึกคิดของเราเองแท้ๆ เราเป็นเจ้าของ แต่ทำไมเราควบคุมใจเราไม่ได้ล่ะ เราควบคุมใจไม่ได้เพราะเรายังไม่มีการฝึกฝน ถ้ามีการฝึกฝนเพียงพอแล้วนี่เราจะควบคุมใจของเราได้ ถ้าเรามีสติมีปัญญานะ เราควบคุมใจของเรา

เราฟังธรรมๆ ฟังธรรมจนใจมันเป็นธรรม ถ้าใจเป็นธรรมนะ เรามีสติมีปัญญาเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” ถ้าเราควบคุมใจเราได้นี่สมาธิธรรม สติธรรม สมาธิธรรม ปัญญาธรรม ปัญญามันเกิดขึ้น สัพเพ ธัมมา อนัตตา สภาวธรรมที่มันยังเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติของมัน เวลาพิจารณาไป เราพิจารณาของเราไป ทำความจริงของเราไป เห็นไหม มันจะเป็นอกุปปธรรม มันไม่ใช่สัพเพ ธัมมา อนัตตา อกุปปธรรมมันธรรมคงที่ เห็นไหม อฐานะที่มันจะเปลี่ยนแปลง อฐานะที่มันจะแปรปรวน

แต่ในปัจจุบันนี้มันแปรปรวน พอความแปรปรวนทั้งที่ใจเป็นของเรา สรรพสิ่งนี้เป็นของเรา เป็นของเราจริงๆ นะ เป็นของเราแต่ทำไมเราควบคุมมันไม่ได้ล่ะ ถ้าไม่เป็นของเรา ชีวิตนี้มันคืออะไร? มันเกิดมาจากไหน? ถ้ามันปฏิสนธิไม่อุบัติในกำเนิด ๔ มันจะมาเป็นเราได้ไหมล่ะ? มันเป็นเรา

ถ้าเป็นเรานะ เวลาเราได้สถานะนี้มาได้ความเป็นมนุษย์มานี่มันเป็นสมมุติ มันเป็นสมมุติ ทำให้มันเป็นสมมุติ เวลาเป็นสมมุติเขาว่ามันได้สถานะนี้มา สถานะเป็นสมมุติ เห็นไหม การเวียนว่ายตายเกิดเป็นสมมุติ แต่จิตมันนะ จิตเป็นเราๆ จิตมันเป็นความจริงของมัน ถ้าความจริงของมันนะ มันมีจริงของมัน เวลาประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดแห่งทุกข์แล้ว เห็นไหม นิพพานถึงมีจริงอยู่ไง สิ่งนี้เป็นจริงๆ คือเป็นจริง มันเป็นจริงอันเดียวกันไง

แต่ในปัจจุบันนี้จิตมันเป็นจริง มันไม่เคยตาย แต่มันเวียนว่ายตายเกิด มันไม่เคยตาย มันไม่เคยตายเพราะมันไม่มีการดับสูญไง แต่มันเวียนว่ายตายเกิด มันเวียนว่ายตายเกิดนะ พอมันเวียนว่ายตายเกิด เห็นไหม สิ่งที่มันมีอยู่แต่เราไม่รู้ ทั้งๆ ที่เรามีอยู่นะ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่รู้ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ สัจธรรมอันนี้ในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามั่นคง มีความมั่นคงมีความเป็นจริง มีองค์ความรู้จริง ถึงได้สั่งสอนพวกเรามาไง

ถ้าเราศึกษาธรรม เราเป็นชาวพุทธนะ เรามีวาสนาเราเป็นชาวพุทธ ถ้าคนเกิด เห็นไหม เขาเกิดมาในประเทศอันไม่สมควร เขาเกิดมาเขามีความเชื่อของเขา เขามีวัฒธรรมประเพณีของเขา เขาก็มีความเชื่อของเขาอย่างนั้น เขาก็ว่าของเขาถูกต้องดีงามของเขา แต่ถ้ามีอำนาจวาสนา ถ้าเขามีความสนใจมีการศึกษาของเขา เขารื้อค้นของเขาเปรียบเทียบของเขา เขาแสวงหาของเขา ถ้ามีวาสนาของเขา เขามีวาสนาไง

พอมีวาสนาก็เหมือนกับเรานี่ เรามีวาสนา เราเกิดเป็นคนไง เราเกิดเป็นคน เวลาเป็นมนุษย์ เห็นไหม เกิดมาพบพุทธศาสนา นี้พุทธศาสนาเกิดมาเป็นคนแล้วเป็นชาวพุทธๆ เขาเป็นฆราวาส เขาเป็นบริษัท ๔ เห็นไหม อุบาสก อุบาสิกา เขาก็มีวัฒธรรม เขาว่าประเพณีของชาวพุทธเราไป เราก็เป็นอุบาสกอุบาสิกามาก่อน ถ้าเรามีความตั้งใจจริงของเรานี่เรามาบวชเป็นพระ เห็นไหม ภิกษุ ภิกษุณี ถ้าภิกษุ ภิกษุณี เรามีโอกาสมากขึ้น มีโอกาสมากขึ้นที่ไหน มีโอกาสมากขึ้นที่เราจะได้ประพฤติปฏิบัติ เราเป็นนักรบ เรามีเวลา ๒๔ ชั่วโมงที่จะประพฤติปฏิบัติโดยต่อเนื่อง

ถ้าประพฤติปฏิบัติต่อเนื่อง แล้วเราปฏิบัติโดยต่อเนื่อง แล้วมันเป็นความมั่นคงในใจเราแล้วยังล่ะ เราควบคุมใจเราได้ไหม ถ้าเราควบคุมใจเราได้ เห็นไหม เรามีสติ เรามีสมาธิ เราควบคุมใจเราได้เราก็มีทางก้าวเดิน มรรคโค ทางอันเอก ทางอันเอกคือใจมันมีโอกาสก้าวเดินของมันไป ถ้าก้าวเดินไปนะ มันก็จะประสบความสำเร็จในการประพฤติปฏิบัติ

ดูทางโลกเขานะ ทางโลกเขานี่เวลาคนที่เขาสำมะเลเทเมาเข้าไปนี่ เขาหมดอายุขัยของเขา เวลาเขาเดินไปไหนเขาไม่มีเงาหัวนะ เงาหัวเขาไม่มี บางคนเห็นเงาของตนไม่มีหัวเขาตกใจ นี่เขาไม่มีเงาหัว แล้วคนโบราณของเขานี่เขาให้ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงา เห็นไหม ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาของตัว เห็นไหม นี่เงาของเขา

แล้วในสมัยปัจจุบันนี้เขามีกระจกเงา เขาจะเห็นว่าความบกพร่องของเขา เขาควรจะแก้ไขอย่างไร ในร่างกายในความเห็นของเขา กระจกเงามันจะเห็นภาพของเขา เห็นภาพตัวเองในกระจกเงานั้น แต่คนที่เวลาที่เขาไม่มีเงาหัวนั่นน่ะ แต่เรามีเงาหัวนะ คนไม่มีเงาหัวเขาจะทำอย่างไร เขาก็ต้องทำบุญกุศลอุทิศส่วนกุศลขึ้นไป เพื่ออะไร? เพื่อกลัวเป็นกลัวตายไง คนไม่มีเงาหัวน่ะเขาบอกคนใกล้ตาย คนใกล้ตายเขาจะมีอุบัติเหตุ เขาจะหมดสิ้นอายุขัยของเขา เขาต้องปล่อยนกปล่อยกาของเขาเพื่อรักษาชีวิตของเขาต่อเนื่องกันไป แล้วออกไปกลางแดดมีเงาไหม? เห็นเงาหัวตัวเองไหม? ถ้าเห็นเงาหัวตัวเองน่ะ ชีวิตเขาก็ดำเนินต่อไป

นี่เหมือนกัน ถ้าเราจะมีสัจจะมีคุณธรรม เรามีเงาของธรรม เรามีเงา ศีล สมาธิ ปัญญา มันมีร่มมีเงาไง มันมีที่พึ่งอาศัยไง เราไม่ใช่คนไม่มีเงาหัว ไม่มีเงาหัวมันไม่มีสามัญสำนึกไง ไม่มีความสำนึกดีชั่ว ไม่มีความสำนึกดีงามในใจของตัว ถ้าไม่มีความสำนึกดีงามในใจของตัว เขาก็สำมะเลเทเมาของเขา ชีวิตของเขาสำมะเลเทเมาของเขาไป

แต่ของเรานี่เรามีเงาหัวนะ เรามีเงาหัวเพราะอะไร เพราะเรามีสติ เรามีสามัญสำนึก สามัญสำนึกว่า เห็นไหม เวลาเราเป็นฆราวาส เราเป็นคน เราก็ว่าเราเป็นคนดี เราเป็นคนดีคนที่มีความคิดที่ดี ความคิดที่ดี เห็นไหม จิตใจเรามันมีอาหารที่ดี อาหารที่ดีนี่อารมณ์ความรู้สึกเป็นอาหารของใจ ถ้าใจมันได้คลุกคลีมันคบบัณฑิตคบสิ่งดีงาม เห็นไหม แต่ใจมันเป็นพาล มันคบเพื่อนที่เป็นพาล พอคบเพื่อนที่เป็นพาล คบสิ่งสำมะเลเทเมา อยากจะเอารัดเอาเปรียบเขา เวลาคบเพื่อนก็พากันไปเสพติด ไปเที่ยวเตร่ทางโลกเขา แต่ถ้าเราคบบัณฑิต เห็นไหม เราคบบัณฑิตคบสิ่งที่ดี เราคบเพื่อนก็คบเพื่อนที่ดี สิ่งใดที่มันเป็นสิ่งไม่ดีเราจะตักเตือนกัน

สิ่งที่ดี เห็นไหม นี่มันมีเงาหัวไง มันมีข้อวัตรปฏิบัติของมันประจำหัวใจไง ถ้ามีประจำหัวใจ หัวใจมันมีร่องมีรอย หัวใจมันมีศีลมีธรรมในหัวใจ ถ้ามีศีลมีธรรมในหัวใจ เห็นไหม เวลาเราคุยเรื่องธรรมะนี่มันก็คุยกันรู้เรื่อง เวลาคุยเรื่องธรรมะนะ คุยกันเรื่องความประพฤติปฏิบัตินะ แต่คนไปคุยกับคนที่ไม่มีเงาหัว ไม่มีเงาหัวเขาจะหมดอายุขัยของเขา คนที่เขาไม่สนใจในธรรมเขาไม่มีเงาสัจธรรมในใจเลย ของเรามีเงาหัว เรามีศีลมีธรรมในหัวใจ เวลาพูดกันถึงการประพฤติปฏิบัติ เราพูดถึงความดีงาม มันพูดกันรู้เรื่อง มันพูดแล้วมันเห็นในช่องทางเดียวกัน

แต่ถ้าเราไปพูดกับคนที่ไม่มีเงาหัว คนที่เขาไม่สนใจในธรรมะ คนที่เขาไม่สนใจในสัจธรรม เขาบอกว่าเขาเกิดมาเป็นคน เกิดเป็นคนก็ต้องแสวงหาความสุข เกิดเป็นคนก็ต้องแสวงหาทรัพย์สมบัติของเขา เพื่อลาภสักการะของเขา เพื่อความมั่นคงในชีวิตของเขา เราต้องแสวงหา เราต้องกอบโกย เราต้องทำคุณงามความดีของเรา จะไปเสียสละอะไรกัน จะไปประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเสียเวลาทำกินน่ะ เสียเวลาทำกิน แต่เวลาทำกิน เวลาเขาทำกินของเขา เขาแสวงหาของเขา เวลาเขาจะพลัดพรากจากสมบัติของเขาน่ะ เขาเป็นห่วงเป็นใยของเขา

ดูในพระไตรปิฎกนะ โตเทยยพราหมณ์เป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว เก็บเงินสะสมไว้ๆ น่ะ เวลาตายไปเกิดเป็นสุนัข เกิดเป็นสุนัขมันก็เฝ้าอยู่อย่างนั้นนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาบิณฑบาตนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปบิณฑบาต คนใช้เขาได้ยินมา นี่เกิดเป็นสุนัข สุนัขไปเห่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “โตเทยยพราหมณ์ เธอเป็นมนุษย์เธอก็ตระหนี่ถี่เหนียว เกิดเป็นสุนัขก็ตระหนี่ถี่เหนียว”

คนใช้ได้ยินไปฟ้องลูก ลูกไม่เชื่อว่าพ่อมาเกิดเป็นอย่างนั้น ไปต่อว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “ต้องพิสูจน์กัน นี่กลับไปหาสุนัขนั้นแล้วเลี้ยงดู ดูแลให้ดีๆ เลยนะ แล้วปลอบประโลมนะ แล้วให้เรียกพ่อเลย บอกขอสมบัตินั้น” เวลาพูดเพราะมันพึ่งตายชาตินั้น สุนัขมันสำนึกได้ สุนัขมันได้กินดีของมัน ได้ปลอบประโลมมันมันสำนึกได้ มันวิ่งไปที่มันฝังสมบัติไว้ ตะกุยอยู่นั้นล่ะ แล้วขุดเอาๆ ทองคำเป็นไหๆ ซ่อนอยู่นั้นนะ

เห็นไหม นี่บอกเป็นมนุษย์เราต้องแสวงหาเพื่อความมั่นคงของชีวิต เราแสวงหาของเรา แสวงหามาเพื่อดำรงชีวิต แสวงหามาด้วยบัณฑิต แสวงหาสิ่งใดมาได้เขาก็ทำบุญกุศลของเขา เขาทำประโยชน์กับเขา นี่เงินทองนั้นก็เป็นประโยชน์กับเขา ได้ดำรงชีวิตแล้วยังได้สร้างบุญกุศลเพราะสิ่งนั้นสร้างประโยชน์ได้ แต่ถ้าคนมันตระหนี่ถี่เหนียวแสวงหาเพื่อเป็นสมบัติของตน เราเกิดมาเป็นคนต้องหาความสุข เราต้องแสวงหาสมบัตินั้นมา แสวงหามาเป็นของเราๆ ก็ใส่ไหฝังดินไว้ ตายไปเกิดเป็นสุนัขมาเฝ้ามันน่ะ

สมบัตินั้นหามาเพื่อประโยชน์ สมบัตินั้นหามาเพื่อคุณงามความดี แต่ทำไมจิตใจมันไปเกาะเกี่ยวไปยึดมั่นถือมั่นจนต้องกลับมาเฝ้า เฝ้าแร่ธาตุที่ตนเองแสวงหานั้นไว้ แต่ถ้าเราแสวงหาสิ่งนี้มาแล้วเราทำคุณงามความดีของเรา เป็นประโยชน์กับการดำรงชีวิต เป็นประโยชน์กับการใช้สอย คนถ้าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยก็ทำให้นิสัยเสีย เงินทองนั้นก็ทำให้คนนิสัยเสียได้เหมือนกัน

เงินทองนั้น คนที่รู้จักประหยัดมัธยัสถ์แล้วใช้ให้เป็นประโยชน์ขึ้นมา เงินทองนั้นมันก็เป็นประโยชน์ขึ้นมา ถ้าเป็นประโยชน์ขึ้นมา เห็นไหม เงินทองนี้ถ้าเราทำเป็นประโยชน์มันได้บุญกุศล ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เพราะอะไร เพราะเราเสียสละเพื่อคนอื่น คนอื่นได้ใช้วัตถุนั้นจากน้ำพักน้ำแรงของเรา เราได้บุญกุศลขนาดไหน

ถ้าจิตใจมันเป็นธรรมนี่คบบัณฑิต เห็นไหม มันมีเงาหัว ถ้ามีเงาหัวมันคิดแต่สิ่งดีๆ มันสื่อสารกับคนที่เป็นธรรมได้ แต่ถ้ามันไม่มีเงาหัวนะ มันระรานเขาไปทั่ว มันระรานเขาไปทั่ว ระรานหัวใจของเรา นี่มันคบแต่พาลในหัวใจ มันจะแสวงหาเพื่อประโยชน์ความมั่นคง มันคิดของมันว่าความมั่นคงของมัน

แต่เวลาเป็นจริงขึ้นมา เห็นไหม ด้วยพาล ด้วยความเป็นพาล ตายไปเกิดเป็นสุนัขมาเฝ้าสมบัติของตัวที่หามา มันสังเวชไหม ทั้งๆ ที่มันมีความคิดนะว่านั่นเป็นสมบัติของเราหามาเพื่อประโยชน์กับเรา แต่หัวใจต่างหากที่มันเป็นของเราน่ะ สิ่งที่หัวใจนี่เป็นของเรา เห็นไหม เราได้ทรัพย์สมบัติสิ่งใดมา เราไม่ใช่คนโง่ เราไม่ใช่คนโง่นะ ว่าได้ทรัพย์สมบัติมาแล้วไม่ใช่ของเรา เราได้ทรัพย์สมบัติมันก็ของเรา ของเราจริงๆ แล้วของเรานี่เราเสียสละจริงๆ

เราเสียสละเพื่อผู้อื่นจริงๆ เพราะเราเสียสละทรัพย์สมบัตินั้น ใครเป็นคนเสียสละ ทรัพย์สมบัติมันแร่ธาตุ เราเก็บไว้ถ้ามันเป็นประโยชน์ มันเป็นประโยชน์ทั้งการดำรงชีวิตด้วย เป็นประโยชน์ที่เราสร้างบุญกุศลด้วย แต่ถ้ามันเป็นกิเลส เห็นไหม ยึดมั่นถือมั่นด้วยเป็นสมบัติของเราแล้วละลานเก็บไว้จนเป็นโทษกับเรา เรามีสติมีปัญญา เราไม่ใช่คนเสียสติ เราไม่ไช่ว่าของที่เราทิ้งขว้าง เราประหยัดมัธยัสถ์เก็บหอมรอมริบมา แต่เราจะเสียสละเพื่อหัวใจไง

หัวใจมันเป็นธรรม มันเสียสละสิ่งนั้นเพื่อไง มีการกระทำไง อามิสน่ะ สิ่งที่เป็นวัตถุเป็นอามิสเป็นการแสดงออกของน้ำใจ ถ้าน้ำใจมันแสดงออกสิ่งนี้ เพื่อให้น้ำใจมันมีคุณค่าขึ้นมา น้ำใจที่มันยึดมั่นแสวงหามาด้วยความทุกข์ความยากแล้วเราเสียสละออกไป เราเสียสละเพื่อใคร? ก็เสียสละเพื่อให้หัวใจมันเข้มแข็งน่ะ เพื่อหัวใจมันเข้มแข็ง ของอย่างนี้ที่เขาตระหนี่ถี่เหนียวกัน เขาแสวงหากัน เรายังเสียสละได้ เห็นไหม ถ้าเราเสียสละ นี่เราไม่ใช่คนที่ไม่มีสติไม่มีปัญญานะ เรามีสติมีปัญญานี่แม้แต่ทรัพย์สมบัติเรายังเสียสละของเรา

แม้แต่สิ่งที่เป็นของมีค่าของเราเรายังสละทานได้ แล้วเราสละทานเพื่ออะไร เพื่อให้จิตใจเข้มแข็ง ถ้าจิตใจเข้มแข็งเป็นบัณฑิต บัณฑิต เห็นไหม เกิดในประเทศอันสมควร ถ้าเกิดในประเทศอันสมควรเรามีหมู่มีคณะที่เราจะพึ่งพาอาศัยกันได้ ถ้าเราพึ่งพาอาศัยกันได้ เราไว้วางใจกันได้ คนไว้ใจกันได้เขาวิสาสะนะ หยิบจับของที่เป็นของซึ่งกันและกันใช้สอยโดยเป็นวิสาสะได้เลย เพราะความไว้เนื้อเชื่อใจกัน นี่ความไว้เนื้อเชื่อใจกัน

แล้วหัวใจล่ะ หัวใจสิ่งที่เป็นความรู้สึกนึกคิด เราไว้เนื้อเชื่อใจมันได้ไหม? ถ้าเราไว้เนื้อเชื่อใจกันไม่ได้นี่มันเบียดเบียนเรานะ นี่เห็นไหม ดูสิ สิ่งที่เราเสียสละจากภายนอก ภายนอกมันเสียสละขึ้นมา เสียสละขึ้นมาก็เพื่อคุณงามความดีของเรา แล้วเวลาเสียสละแล้ว เห็นไหม เราระลึกถึงมันมีความร่มเย็นเป็นสุขไหม? มันมีความชื่นบานไหม? ถ้ามีความชื่นบานขึ้นมา นี่แล้วอารมณ์ความรู้สึกอย่างนี้เราจะเสียสละอย่างไร? เราจะรักษาอย่างไรให้มันตั้งมั่น

ถ้าเราเสียสละตั้งมั่น เรากำหนดพุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ เราจะเอาขึ้นมาแล้ว เห็นไหม มันมีเงาหัวมาตั้งแต่ต้น ถ้ามีเงาหัวมันมีที่มาที่ไป มันมีจุดยืนไง ถ้ามีจุดยืนมันก็ไม่เหลวไหล ไม่วอกแวกวอแวไปกับสังคมโลก ถ้ามันไม่มีจุดของมันวอกแวกวอแวไปกับสังคมโลก แล้วมันเป็นหมาบ้าด้วย หันมากัดด้วย เสียเวลาเปล่า ทำอะไรก็ไม่ได้ประโยชน์

นี่แล้วที่เอ็งทำอยู่มันมีประโยชน์ไหม ที่ว่าโตเทยยพราหมณ์ทำอยู่มีประโยชน์ไหม ทำทั้งชีวิตเลย ตายไปแล้วเกิดเป็นสุนัขเฝ้าเงินทองอยู่นั้นน่ะ นี่มันมีเงาหัวไหม?

แต่ของเราเวลาเราแสวงหาจะมีมากมีน้อย นั่นเป็นเรื่องของวัตถุ แต่น้ำใจที่ยิ่งใหญ่ล่ะ น้ำใจที่ยิ่งใหญ่มันเสียสละได้ ถ้ามันเสียสละสิ่งนี้ได้ อารมณ์ความรู้สึกมันก็น่าจะเสียสละได้ แต่นี้ถ้ามันเสียสละสิ่งนี้ไม่ได้ อารมณ์ความรู้สึกที่มันเกิดกับใจมันจะเสียสละอย่างไร แล้วอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาจากใจ มันบีบคั้นหัวใจเราไหม?

ถ้าอารมณ์ที่เกิดขึ้นในหัวใจมันบีบคั้นในหัวใจของเรา แล้วบอกว่านี่ศีล สมาธิ ปัญญา สัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราก็เป็นมนุษย์ นี่เห็นดีเห็นงามในการเป็นนักบวชในการเป็นพระ เรามาบวชพระขึ้นมานี่ เพราะเราเห็นว่าเราเป็นนักรบ แล้วเวลาเราจะประพฤติปฏิบัติ เราจะเอาอาวุธอะไรไปต่อสู้กับกิเลสในหัวใจเราล่ะ

ถ้าจะเอาอาวุธอะไรไปต่อสู้กับกิเลสในหัวใจของเรา ก็สติไง ถ้าเรามีสติ สติเราอ่อน สติเราอ่อน สติปัญญาเราล้มลุกคลุกคลาน สติปัญญาล้มลุกคลุกคลาน เห็นไหม แล้วเราก็โดนกิเลส กิเลสมันอาศัยอารมณ์ความรู้สึกบีบคั้นหัวใจ แล้วอารมณ์ความรู้สึกมันบีบคั้นหัวใจ เราก็น้อยเนื้อต่ำใจ เราก็ทุกข์ยากอยู่นี่ ถ้าทุกข์ยาก ถ้ามีสติปัญญามันยังมีเงาหัวนะ ถ้าไม่มีสติไม่มีปัญญามันไม่มีเงาหัวเลยล่ะ

นี่บวชพระก็ได้บวชแล้ว ปฏิบัติก็ได้ปฏิบัติแล้ว เวลาเดินจงกรมก็ได้เดินจงกรมแล้ว ทำไมหัวใจมันเร่าร้อนอย่างนี้ มันจะไม่มีเงาหัวแล้วนั่นน่ะ หัวมันจะขาด แต่ถ้ามันมีเงาหัวของมันนะ ในเมื่อครูบาอาจารย์ท่านก็ประพฤติปฏิบัติของท่าน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็เป็นมนุษย์ ท่านก็เป็นมนุษย์ เราก็เป็นมนุษย์ เราเห็นโทษของวัฏฏะ เห็นโทษของการเวียนว่ายตายเกิดเราถึงได้เสียสละสถานะนั้นมา เราเสียสละมา เสียสละมาด้วยเจตนาด้วยความตั้งใจดี

ถ้าตั้งใจดีแล้วนี่สิ่งที่มันจะเกิดขึ้น เห็นไหม สัจธรรม สัจธรรมในหัวใจ สิ่งความสะอาดบริสุทธิ์มันรู้เฉพาะตน แล้วเวลามันเจ็บช้ำน้ำใจโดยที่กิเลสมันเบียดเบียนเราก็รู้เฉพาะตน เวลามันทุกข์มันรู้เฉพาะตน แล้วถ้ามันจะเป็นจริงขึ้นมานี่มันรู้เฉพาะตนเหรอ แล้วทำไงจะรู้เฉพาะตนล่ะ มันต้องมีตรงนี้ไง มันต้องมีสติมีปัญญามีการกระทำไง

ถ้ามีการกระทำ ธรรมทั้งหลายมันมาแต่เหตุไง สมาธิมันจะลอยมาจากฟ้าเหรอ สติมันจะลอยมาจากฟ้าเหรอ แล้วมรรคผลมันจะลอยมาจากฟ้าใช่ไหม มรรคผลนี่ให้ครูบาอาจารย์การันตีเอาใช่ไหม มรรคผลนี่ให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารับประกันใช่ไหม ให้พยากรณ์ว่าคนนั้นได้มีมรรคมีผลใช่ไหม

พระในสมัยพุทธกาลหลงตัวเองว่าเป็นพระอรหันต์ ออกพรรษาแล้วจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คุยกันมาว่าเป็นพระอรหันต์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอนาคตังสญาณรู้เลย ให้พระไปดักหน้าไว้ “ไม่ต้องเข้ามา ไม่ต้องเข้ามา ให้เข้าป่าช้าไปก่อน” นี่พระอรหันต์นะ พอเข้าไปในป่าช้าไปเห็นซากศพ พระอรหันต์ทำไมมันไหวอย่างนั้น รู้เลยว่าตัวเองไม่ได้เป็นพระอรหันต์

ถ้าไม่ได้เป็น นี่ไง มันรู้เฉพาะตน ความสะอาดบริสุทธิ์นี่มันเป็นของตนเอง จะไปให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารับประกันไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไม่ต้องเข้ามา พระอรหันต์ไม่ต้องเข้ามานะ พระอรหันต์ให้เข้าป่าช้าไปเลย พระอรหันต์ต้องให้ไปเที่ยวป่าช้าก่อน วนออกป่าช้ามา ถ้ามันไม่หวั่นไหวมาในโลกธรรม ๘ แล้วค่อยมาหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พอเข้าไปแล้วไปหมดเลย รู้ตัวเองว่าไม่ใช่พระอรหันต์

นี่เหมือนกัน ศีล สมาธิ ปัญญา เอามาจากไหน ในเมื่อกิเลสมันบีบคั้นหัวใจของเรา ถ้าในเมื่อกิเลสมันบีบคั้นหัวใจของเรานี่ เราก็มีสัจธรรม มีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีข้อวัตรปฏิบัติเป็นเครื่องอยู่ ถ้าเราไม่มีเครื่องอยู่นะ ดูสิ เราเป็นนักรบใช่ไหม นี่เราถือธุดงควัตรกัน วันหนึ่งบิณฑบาตมาฉันอาหารมื้อเดียว นี่เราก็อาศัยอาหารดำรงชีวิต หัวใจมันอาศัยอะไรล่ะ? มันจะอาศัยอะไรดำรงชีวิตของมันล่ะ?

ศีลธรรม ศีลธรรมอาศัยหัวใจ เห็นไหม นี่วิญญาณาหาร วิญญาณคือความรู้สึกนึกคิด ถ้ามันได้อาหารที่ดี หัวใจมันก็ร่มเย็นเป็นสุข ถ้ามันได้อาหารเป็นพิษ อาหารเป็นพิษ คิดสิ่งใดมันก็เร่าร้อน คิดสิ่งใดมันก็เจ็บช้ำน้ำใจ นี่อาหารเป็นพิษ แต่มันก็เสวยเหมือนกัน หัวใจมันอยู่ได้ด้วยอะไร? วิญญาณาหาร หัวใจนี่ ใจนี่ ถ้ามันไม่คิดๆ มันอยู่ไหน เวลามันนึกมันคิดขึ้นมานี่ ถ้ามันคิดนึกคิดสิ่งที่ดีมามันก็ร่มเย็นเป็นสุข นี่วิญญาณาหาร อาหารที่เป็นธรรม

แต่ถ้าสิ่งที่คิดมันเป็นทุกข์ๆ ล่ะ คิดแล้วมันมีความเจ็บช้ำน้ำใจล่ะ นั่นอาหารเป็นพิษๆ แล้วทำอย่างไรล่ะ นี่ไง พุทโธๆ พุทธานุสติ ระลึกพุทโธ อาหารของใจ ใจมันเกาะเกี่ยวอย่างนี้ ถ้ามันเกาะเกี่ยวอย่างนี้มันก็มีหลักมีเกณฑ์ของมัน ถ้ามันไม่เกาะเกี่ยวอย่างนี้นะ มันก็เร่ร่อน หัวใจของเราก็ทุกข์ยากอยู่แล้ว แล้วมันยังเร่ร่อนเจ็บช้ำน้ำใจซ้ำต่อเข้าไปอีก ถ้าซ้ำต่อเข้าไปนะ แล้วก็ทุกข์ยากกันไป

นี่มันจะไม่มีเงาหัวไง ถ้าไม่มีเงาหัวนะ มันไม่มีเงาหัว มันไม่มีเงาธรรม ไม่มีสัจธรรม ถ้าไม่มีสัจธรรมนะ เรามีศีลมีธรรม เรามีกระจกเงา ศีลธรรมเป็นเครื่องทดสอบ เห็นไหม ดูสิ ศีล ๕ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ศีลของเขาสะอาดบริสุทธิ์ ศีลของเรา เห็นไหม ถ้าศีลของเราศีลไม่ด่างไม่พร้อย เราก็พยายามศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามีศีล ศีลความปกติของใจไม่ด่างไม่พร้อยมันก็ไม่เร่าร้อน ถ้าไม่เร่าร้อนเราก็มีสติปัญญาประพฤติปฏิบัติของเรา

เราบวชมานะ เราบวชมา เห็นไหม ดูสิ โปฐิละ นี่ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้หมด สั่งสอนลูกศิษย์ลูกหาได้ถึง ๕๐๐ ไปไหนนี่ลูกศิษย์ลูกหาล้อมหน้าล้อมหลัง ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ “ใบลานเปล่ามาแล้วหรือ ใบลานเปล่าไปแล้วหรือ”

นี่ก็เหมือนกัน เราบวชมาแล้ว ในเมื่อเราบวชมาแล้วเรามีอุปัชฌาย์ อุปัชฌาย์ให้เรา เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เห็นไหม กรรมฐาน ๕ แล้วถ้าเราจะศึกษา พระไตรปิฎกเราก็มี ประวัติครูบาอาจารย์เราก็มี เราก็ศึกษาของเรา ศึกษามาเพื่อเป็นกำลังใจไง ว่าครูบาอาจารย์ของเราเวลาท่านผ่านแต่ละขั้นแต่ละตอนมาท่านทุกข์ท่านยากขนาดไหน แล้วเราจะประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม ครูบาอาจารย์ที่ท่านผ่านทุกข์ยากมาขนาดนั้น ท่านประสบความสำเร็จของท่าน ท่านต้องมีอำนาจวาสนาบารมีของท่าน ท่านถึงได้ชำระล้างกิเลสเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป ขนาดคนที่มีอำนาจวาสนาขนาดนั้นเขายังทุกข์ยากขนาดนั้น แล้วเราล่ะ เราก็ปรารถนานะ ปรารถนาจะพ้นจากทุกข์ เราเกิดมาเป็นชาวพุทธจะไม่เหยียบแผ่นดินผิด เกิดมาเป็นชาวพุทธแล้วได้บวช ได้บวชในพุทธศาสนา แล้วได้ประพฤติปฏิบัติ เหยียบแผ่นดินที่ถูกต้อง เป็นศากบุตรพุทธชิโนรส เราเกิดมาเราบวชแล้ว เราบวชนี่สงฆ์ยกเข้าหมู่

ฉะนั้น เราจะบวชหัวใจของเรา เราจะประพฤติปฏิบัติของเรา ประพฤติปฏิบัติในหัวใจของเราให้มีคุณธรรมขึ้นมา ถ้าในหัวใจของเรามันมีคุณธรรมขึ้นมานะ สิ่งที่เป็นคุณธรรมมันมาจากไหน เห็นไหม ศึกษาก็ศึกษามาแล้ว ปริยัติ เวลาเราปฏิบัติขึ้นมานี่เราศึกษามาจากอุปัชฌาย์อาจารย์ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ แล้วเราฝึกหัดในปัจจุบันนี้ เราพยายามตั้งสติของเรา เราจะพัฒนาจิตของเราให้จิตเราสงบเข้ามา ให้มันเห็น เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ตามความเป็นจริง นี่เวลาอุปัชฌาย์ให้มา เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจนี่สิ่งที่อุปัชฌาย์ก็มีอยู่ เราก็มีอยู่ มนุษย์ทุกคนก็มีอยู่ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ใครก็มี

เพราะผม ขน เล็บ ฟัน หนัง นี่เห็นไหม มันห่อหุ้มอะไรไว้ ถ้ามันห่อหุ้ม ห่อหุ้มให้ร่างกาย ดูสิ เด็กน้อยมันเกิดมาผิวอ่อนผิวเด็กๆ เห็นไหม เวลามันเติบโตขึ้นมานี่ผู้ใหญ่ขึ้นมานี่ผิวหนังก็มากขึ้นทุกอย่าง มันเติบโตขึ้นมา เวลาชราภาพไปมันก็แก่ชราคร่ำคร่าไป แล้วสุดท้ายมันก็สิ้นชีวิตไป มันก็เน่า มันก็พุพองของมันไป

แล้วจิตมันไปไหนล่ะ แล้วเวลาเราไปศึกษาๆ ในหัวใจของเรานี่ ศึกษาเพื่ออะไรล่ะ เราศึกษาขึ้นมา เห็นไหม ศึกษาขึ้นมาน่ะสอนหัวใจของเราไง สอนหัวใจของเราให้มันรู้มันเห็นของมัน อย่าไปตื่นเต้นกับโลกเขา สิ่งที่เราเกิดมากับโลกเขา เห็นไหม ดูสิ โลกเขาเวลาเกิดมาเป็นวัยรุ่นต่างๆ วัยรุ่นเขามีความรู้สึกที่รุนแรง เพราะอะไร เพราะเขาเป็นวัยรุ่น เวลามันมีประสบการณ์ชีวิตขึ้นไปมันก็เข้าใจชีวิตมากขึ้นๆ พอแก่ชราภาพขึ้นมานี่รู้โลกเข้าใจโลก มันก็ไม่ติดข้องไม่สงสัยกับโลกเขา นี่พูดถึงสังคมโลกนะ

แต่เขาเวียนว่ายตายเกิดตามวัฏฏะ ตามอำนาจวาสนาของเขา แต่เราก็เวียนว่ายตายเกิดตามวัฏฏะเหมือนกัน แต่เรามีสติมีปัญญาเห็นไหม เราเป็นวัยรุ่น เราก็อยากจะบวชจะเรียนของเรา เราจะประพฤติปฏิบัติของเรา เราจะให้ใจของเรามันมีความจริงของเราขึ้นมา ถ้ามีความจริงขึ้นมา เห็นไหม เราให้มันระลึกพุทโธ ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้ามันสงบเข้ามาได้ๆ มันสงบได้แน่นอน เพราะครูบาอาจารย์เราที่ท่านปฏิบัติมานี่ ท่านก็ปฏิบัติมาล้มลุกคลุกคลานแบบเรานี่ จิตใจของคนที่ประพฤติปฏิบัติใหม่มันก็เป็นแบบนี้ทุกคน

ในประวัติของหลวงปู่มั่นก็เหมือนกัน เวลาท่านประพฤติปฏิบัติครั้งแรก ท่านก็ล้มลุกคลุกคลานมาเหมือนกัน หลวงปู่เสาร์ท่านพาออกวิเวกต่างๆ เพราะท่านดูแลรักษากันมา เพราะท่านดูแลรักษากันมา ท่านทำกันมาน่ะ บัณฑิตคบบัณฑิตไง บัณฑิตคบบัณฑิต นี่ผู้รู้จริงพยายามชักนำผู้รู้จริงขึ้นมาไง สุดท้ายแล้วเวลาปฏิบัติไปแล้วนี่หลวงปู่มั่นท่านก็ไปแก้หลวงปู่เสาร์อีกทีหนึ่ง เห็นไหม เพราะอะไร เพราะความเป็นบัณฑิตจากธรรมวินัย บัณฑิตการศึกษามาแล้วก็ดูแลเป็นข้อปฏิบัติขึ้นมา

แต่ท่านเป็นบัณฑิตจากภายใน เห็นไหม ถ้าบัณฑิตจากภายใน ถ้าหัวใจมันมีมรรคญาณขึ้นมา นี่มันชำระล้างกิเลสเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา มันรู้ทันทีเลยว่าสิ่งที่เราได้รับการดูแลรักษามา ครูบาอาจารย์ที่สั่งสอนมานี่มันเป็นเครื่องดำเนิน แต่มรรคโคทางอันเอก ศีล สมาธิ ปัญญาที่มันเกิดขึ้น ศีล สมาธิ ปัญญาที่มันเกิดขึ้นมรรคอันเอกอย่างนี้ ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมานี่ มันจะเห็นเลยว่าสิ่งที่มันเป็นข้อวัตรปฏิบัติหล่อเลี้ยงหัวใจมันขึ้นมา ให้มันมีแนวทางการปฏิบัติ แต่เวลามันเป็นจริงขึ้นมามันเป็นความจริง

ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เราถึงได้มาประพฤติปฏิบัติกันอยู่นี่ ที่เราพยายามมาประพฤติปฏิบัติ เราพยายามรักษาขึ้นมา สิ่งที่มันทำขึ้นมาเราต้องทำขึ้นมา บวชเรียนแล้ว บวชเรียนแล้วนี่เรามาศึกษา ศึกษาแล้วเราประพฤติปฏิบัติ ถ้าประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่เราพยายามบังคับใจเรา ถ้ามีสติบังคับให้มันมีร่มเงา อย่าให้มันหัวขาด อย่าให้มันขาดจากมรรคจากผล อย่าให้มันขาดจากความเป็นจริงขึ้นมา เราดูแลรักษาของเราขึ้นมาเอง แล้วเราพยายามปฏิบัติของเราเอง ทำความจริงของเราขึ้นมาเอง

ถ้ามันล้มลุกคลุกคลานนี่ทุกคนรู้ รู้เพราะอะไร รู้เพราะว่าถ้าไม่ได้บวชได้เรียนกัน อยู่ทางโลกเขาก็ล้มลุกคลุกคลาน กิเลสมันบีบคั้นหัวใจทั้งนั้น เวลาเราบวชมาเป็นพระ เราบวชมาเป็นพระ เห็นไหม เราบวชโดยสมมุติสงฆ์ เราบวชโดยกรรมวาจาจารย์ เราบวชโดยอุปัชฌาย์ญัตติขึ้นมา นี่มันก็เป็นสงฆ์ เป็นสงฆ์จริงๆ แต่หัวใจมันยังไม่ได้เป็น หัวใจนี่มันยังไม่ได้เป็น เห็นไหม ถ้ามันเป็น นี่ปุถุชน กัลยาณปุถุชน โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล บุคคล ๔ คู่ บุคคล ๘ ๔ คู่ บุคคล ๘ แต่ได้ ๔ คู่ ถ้าหัวใจมันเป็นมันเป็นบุคคลคนเดียวคือเราคนเดียวนี่แหละ

เวลาเราเป็นกัลยาณปุถุชนน่ะ ล้มลุกคลุกคลานขึ้นมานี่ ถ้าเราทำความสงบของใจเข้ามามันจะเป็นกัลยาณปุถุชน กัลยาณปุถุชนมันรู้เท่าทันรูป รส กลิ่น เสียง ถ้ารูป รส กลิ่น เสียงมันรู้เท่าทันขึ้นมานี่จิตมันก็สงบมาได้ง่ายขึ้น จิตที่มันไม่สงบนี่เพราะรูป รส กลิ่น เสียง มันเร้า รูป รส กลิ่น เสียงมันกระตุ้น ทำให้จิตใจเราฟุ้งซ่านกันไป เพราะเรายังเป็นปุถุชน คำว่าปุถุชนนี่คนหนา คนหนานี่เป็นจริง

ฉะนั้น โลกเขาก็เป็นกันอยู่อย่างนั้น โลกที่เขาเป็นปุถุชน เขาก็เป็นกันอยู่อย่างนั้น เรามาบวชเป็นพระ เราเป็นสมมุติสงฆ์ จิตของเรายังเป็นปุถุชน มันก็ล้มลุกคลุกคลานอย่างนั้น ฉะนั้น มันมีพยานยืนยันไง แล้วโลกเขาก็เป็นกันแบบนี้ เราบวชไปแล้วนี่เราก็ยังเป็นแบบนี้ ถ้าเราเป็นแบบนี้เราจะพัฒนาของเราจากปุถุชนเป็นกัลยาณปุถุชน

เราจะบวชใจแล้วล่ะ เราบวชมาเป็นพระนี่เราบวชแล้ว เราได้สถานะความเป็นสงฆ์มาแล้ว ถ้าได้สถานะความเป็นสงฆ์มา ในประเพณีวัฒธรรมเขาว่าเราเป็นพระสงฆ์ๆ พระสงฆ์ เห็นไหม เขาเคารพบูชาเพราะเราเป็นผู้ปฏิญาณตนว่าเราเป็นพระ เป็นพระมีศีล ๒๒๗ มีศีล มีศีลธรรมเป็นเครื่องบอกว่าเป็นพระ

แล้วหัวใจของเราล่ะ ทำไมมันคิดเหมือนโลกล่ะ ทำไมหัวใจเราคิดแบบเขาล่ะ นี่เงาหัวมันจะขาด แต่ถ้ามันมีสติมีปัญญา เห็นไหม มันไม่ให้เงาหัวขาดนะ เงาหัวขาดมันต้องมีคุณธรรม ถ้ามีคุณธรรมขึ้นมามีศีลมีธรรมขึ้นมาในหัวใจ อยู่กับธรรมมันมีเครื่องอยู่ไง พอมันมีเครื่องอยู่ขึ้นมานี่มันก็ชัดเจนของมัน นี้มีเครื่องอยู่ขึ้นมาน่ะ มันมีศีลมีธรรม ความขาดตกบกพร่องเราวัดกันที่นี่ไง เราวัดกันที่ความขาดตกบกพร่อง

สิ่งใดขาดตกบกพร่อง เห็นไหม ศีลด่างพร้อย ศีลทะลุ ศีลต่างๆ ถ้าศีลมันขาด ศีลมันไม่สมบูรณ์ เราก็ปลงอาบัติของเรา เราปฏิบัติเรา เพราะเรายังขาดสติอยู่ใช่ไหม คนสติไม่สมบูรณ์มันก็มีการขาดตกบกพร่องมีความผิดพลาดเป็นธรรมดา นี่เราก็ไม่ต้องเอาสิ่งนี้มาบีบคั้นเราไง จิตใจของเรานี่กิเลสมันก็เหยียบย่ำเราอยู่แล้ว จะไม่มีเงาหัวอยู่แล้ว แล้วพอปฏิบัติไปโน้นก็ผิดนี่ก็ผิด ทำสิ่งใดก็ไม่ก้าวหน้าเลย ทำสิ่งใดไม่ได้เลย เราก็กลับมาตรวจสอบของเรา ถ้าเราตรวจสอบของเราถ้ามันสมบูรณ์แล้วนี่ นี้มันก็อยู่ที่การกระทำแล้ว

อยู่ที่เราเอาจริงขนาดไหน เราจะมีสติขนาดไหน ถ้ามีสติแล้วเราก็บริกรรมพุทโธของเรา เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิของเรา พยายามทำใจของเราให้สงบระงับเข้ามา ถ้าสงบจากปุถุชนเป็นกัลยาณปุถุชน กัลยาณปุถุชนคือจิตตั้งมั่น มันมีที่พึ่งที่อาศัย มันสงบเย็น มันระงับของมัน เห็นไหม มันไม่ใช่คนหนา มันคนเบาบาง เบาบางจากโลก นี่มันจะมีศีลมีธรรมในหัวใจ มันเบาบางจากโลกมันก็มีคุณธรรมในหัวใจ

ถ้ามีคุณธรรมในหัวใจนะ เราน้อมไป น้อมไปเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง ถ้าเห็นจิตเห็นธรรมตามความเป็นจริง เราไม่เห็นกายของเรา จิตสงบแล้วนี่มีอารมณ์ความรู้สึกเราก็จับความรู้สึกอันนั้น ถ้าเราจับความรู้สึกได้ นี่จิตเห็นอาการของจิต จิตเห็นความคิด ความคิดก็เป็นเรา สรรพสิ่งก็เป็นเรา ร่างกายก็เป็นเรา สรรพสิ่งเป็นเราหมดเลย

นี่ว่าจะเริ่มต้นๆ เงินทองเป็นของเราๆ เป็นของเรา แต่เรามีสติปัญญาใช้สอยเป็นประโยชน์กับเราไหม ถ้าเราไม่มีสติปัญญใช้สอย คนที่ขาดสติก็ยึดมั่นถือมั่น เวลาพลัดพรากจากเงินทองนั้นไปก็กลับมาเป็นสัตว์ต่างๆ มาเฝ้ามันอีกต่างหาก แต่ถ้าเรามีสติปัญญา เห็นไหม สิ่งที่ว่าจิตมันสงบแล้วนี่จิตมันสงบ มันเห็นความรู้สึกนึกคิดไหม? ถ้ามันเห็นความรู้สึกนึกคิด จิตเห็นจิตอาการของจิต ทีนี้มันเป็นนามธรรมแล้ว มันไม่เกี่ยวกับวัตถุแล้ว แม้แต่วัตถุจิตใจก็ไปยึดมั่นถือมั่นมัน ถ้าไม่มีสติปัญญาก็ไปยึดมั่นว่าเป็นของเราเลย ถ้ามีสติปัญญานะ มันก็เป็นของเราจริงๆ แต่ของเราชั่วคราว เราก็ใช้สอยประโยชน์ของมันไป จิตเราก็เป็นจิตของเรา นามธรรมก็เป็นนามธรรมของเรา วัตถุก็เป็นวัตถุอยู่ข้างนอกนั้น

แต่โลก เห็นไหม นี่ปัจจัยเครื่องอาศัย เกิดมาแล้วต้องมีปัจจัย ๔ เราเป็นพระเราก็มีปัจจัย ๔ เหมือนกัน แต่พอจิตเราสงบเข้ามาแล้วนี่ จิตเราสงบเข้ามาเพราะเราทำความสงบระงับเข้ามา คนที่สงบระงับไม่ได้ก็ว่ากายกับใจ กายกับใจ แต่เขาก็ไปยึดมั่นถือมั่นกับวัตถุนั้น แต่คนถ้าเขามีสติปัญญาแล้ววัตถุนั้นมันอยู่ข้างนอก เวลามันปล่อยวางวัตถุ วัตถุเราเก็บไว้เรียบร้อยแล้ว เราเก็บไว้มิดชิดแล้วมันก็ไม่น่าไปวิตกกังวลกับมัน

เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ เราใช้คำบริกรรมของเรา พอจิตมันสงบเข้ามา เห็นไหม จิตเห็นอาการของจิต จิตเห็นอาการของจิต จิตนี้มีความรู้สึกนึกคิด นี่มันเห็นค่ามากกว่าข้าวของเงินทองจากข้างนอก แม้แต่ข้าวของเงินทองมันเป็นวัตถุ เรายังรู้ว่าเราเป็นเจ้าของ เราหามาได้มากน้อยแค่ไหนก็เป็นของเรา เราที่ยังหามาไม่ได้มันก็เป็นวัตถุธาตุเป็นสาธารณะ แต่เวลาจิตเราสงบเข้ามา เห็นไหม จิตเราสงบเข้ามาแล้ว ถ้ามันสงบเข้ามานี่ มันไม่เห็นกาย ไม่เห็นเวทนา ไม่เห็นจิต ไม่เห็นธรรม มันสงบเข้ามา มันก็เป็นสัมมาสมาธิ สมาธิแล้วถ้ามีสติปัญญาก็เป็นสัมมาสมาธิ ถ้ามันขาดสติปัญญานี่สมุทัยมันเข้ามาเกี่ยวเนื่องนี่เป็นเรา

พอสรรพสิ่งทุกอย่างเป็นเราๆ มันก็ไม่ปล่อยวาง มันก็ไม่เป็นสัมมาสมาธิ ถ้ามันปล่อยวางแล้วมันยังหาไม่ได้ ถ้ามันหาไม่ได้ มันไม่เห็นกาย ไม่เห็นเวทนา ไม่เห็นจิต ไม่เห็นธรรมตามความเป็นจริง ถ้าเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง เห็นไหม มันก็จะเห็น นี่จิตเห็นอาการของจิต จิตเห็นสติปัฏฐาน ๔ สัจธรรม

ถ้าเห็นสัจธรรม มันเป็นการกระทำไง สิ่งที่เป็นการกระทำ ดูสิ ทรัพย์สมบัติสิ่งที่ได้มาเพราะเราทำหน้าที่การงานมา เราถึงได้ทรัพย์สมบัตินั้นมาเป็นผลตอบแทน เป็นผลที่เราลงทุนลงแรงไป เราใช้สติปัญญาอบรมสมาธิ เรากำหนดพุทโธจะให้จิตมันสงบลง จิตมันสงบลงมาแล้วนี่ จิตสงบลงแล้วเราก็มีกำลังของเรา จิตมันก็มีความสุขของมัน เพราะมันเป็นสัมมาสมาธิ เวลามันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความจริง

มันไปเห็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งที่จิตนี้มันจะก้าวเดินเป็นมรรคโค เป็นทางอันเอก มันจะเป็นมรรคเป็นผล ให้จิตดวงนี้ได้ฝึกหัด จิตดวงนี้ได้เห็นสติปัฏฐาน ๔ ได้เห็นกาย ได้เห็นเวทนา ได้เห็นจิตได้ตามความเป็นจริง มันพิจารณาของมันแยกแยะของมันตามความจริงของมัน เห็นไหม จิตจริงเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง

สติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริงนี่ มันเป็นความจริง เป็นสัจธรรม เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตามความเป็นจริง จิตไม่จริง จิตมันจอมปลอม จิตมันไม่มีความสงบเข้ามา จิตมันอนุมานเอา จิตมันแค่จินตนาการของมันเอา เพราะศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแล้วนี่ก็บอกสติปัฏฐาน ๔ การปฏิบัติในทางสติปัฏฐาน ๔ ต้องเห็นกาย ต้องพิจารณากาย พิจารณาเวทนา พิจารณาจิต พิจารณาธรรม มันก็พิจารณาของมันไปโดยความสมมุติ โดยความจินตนาการโดยความสามัญสำนึก เวลาพิจารณาไปนี่เพราะขาดครูบาอาจารย์

แต่เพราะหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นท่านช่วยเหลือเจือจานกันมา หลวงปู่มั่นท่านออกประพฤติปฏิบัติ หลวงปู่เสาร์ท่านไปเอาหลวงปู่มั่นท่านมาบวช บวชเสร็จแล้วท่านก็พาหลวงปู่มั่นออกธุดงค์ จนหลวงปู่มั่นท่านก็แก้ไขอำนาจวาสนาสคือพุทธภูมิของท่าน ท่านก็พิจารณาของท่านเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป จนท่านมีคุณธรรมในหัวใจ แล้วมาระลึกรู้ไง ว่าที่ครูบาอาจารย์ที่ท่านสั่งสอนมา ท่านสอนถูกต้องของท่านในการทำความสงบของใจเข้ามา แต่มันความก้าวเดินมันก้าวเดินอย่างไร

ถ้ามันก้าวเดินไม่ได้ มันยังไม่สละบุญกุศลที่สร้างมา มันยังก้าวเดินไม่ได้ นี่แล้วกลับไปแก้ความเห็นผิดจากในใจของหลวงปู่เสาร์ เห็นไหม! หลวงปู่เสาร์ท่านเอาหลวงปู่มั่นออกมาบวช บวชเสร็จแล้วหลวงปู่มั่นท่านก็กลับไปแก้หลวงปู่เสาร์ นี่ไง นักปราชญ์บัณฑิตเขาเคารพบูชากัน เขาเคารพบูชากันด้วยคุณธรรม เขาเคารพบูชากัน รักกัน ชอบกัน มีความยินดีต่อกัน นี่เหมือนกัน ถ้าหัวใจของเรา เห็นไหม ดูสิ เวลาเราหาสมบัติทางโลก ถ้าเขามีเขาหาของเขา เขาหาสมบัติทางโลกของเขา อันนี้ก็อำนาจวาสนาของเขา

แต่ถ้าเรามีอำนาจวาสนา เรามาบวชมาเรียนของเรา เรามาตั้งสัจจะความจริงของเราในหัวใจของเรา ถ้าเราทำของเรา เห็นไหม จากที่ว่าถ้าไม่มีสติมีปัญญา มันจะหัวขาดนะ แต่ถ้าเรายังมีเงาหัวอยู่นี่ เราพยายามทำของเราขึ้นมา ให้มันเข้มแข็งขึ้นมา พอเข้มแข็งขึ้นมาจิตมันสงบเข้ามาได้ มันมีเงาหัวมัน มีเงาหัวมันมีคุณธรรมในหัวใจไง มีสัจธรรมเป็นที่พึ่งอาศัยไง

ถ้ามีที่พึ่งอาศัยน่ะจิตสงบเข้ามาได้ จิตเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง ถ้ามันจับต้องของมันได้ จิตเห็นอาการของจิต จิตที่จับต้องได้ มันจับต้องได้มันถึงวิปัสสนาได้ จับต้องได้จิตมันมีงานทำของมัน จิตมันมีงานทำมันเพลิดเพลินของมัน มีความสุขของมัน มันได้มรรคได้ผลในหัวใจ

ถ้าจิตมันไม่มีความสงบมันไม่มีงานทำ พอไม่มีงานทำ เพราะโดยธรรมชาติของใจ ใจมันมีอวิชชาอยู่ในหัวใจของมัน พญามารมันมีอยู่แล้ว ถ้าเราไม่มีทำงาน ไม่มีสิ่งใดเป็นธรรม เดี๋ยวกิเลสมันก็พอกพูน เดี๋ยวกิเลสมันก็เหยียบย่ำ พอเหยียบย่ำมันก็ทุกข์มันยาก ในการปฏิบัติๆ แล้วนี่กิเลสมันยังเหยียบย่ำ มันจะทำลายหัวใจของเรา เราถึงต้องมีสติมีปัญญา มันต้องมีกำลังไง เรามีกำลัง

เราเป็นนักปฏิบัติ เรามีครูมีอาจารย์ เรามีหมู่คณะ เรามีสหธรรมมิก เรามีที่พึ่งอาศัย เห็นไหม สิ่งนี้ทำให้เราอยู่ในวังวน อยู่ในกระแส อยู่ในสายการปฏิบัติ เราจะต้องขับเคลื่อนกันไปด้วยการประพฤติปฏิบัติ ด้วยมีเป้าหมาย มีจุดหมายเพื่อคุณงามความดีของเรา เราพยายามทำของเรา

ฉะนั้น เวลาสิ่งที่มันบีบคั้น สิ่งที่มันเกิดขึ้นมาเหยียบย่ำหัวใจนี่ ให้มั่นใจได้เลยว่านั้นกิเลสล่ะ นั่นน่ะมารมันเข้ามา นั่นน่ะมันจะพาหัวขาด เราจะไม่ไปทางนี้ เราจะไม่ไปทางที่ไม่มีเงาหัว มันจะพาหัวขาดไป เราจะไปทางมีเงาหัว เราจะไปทางความเป็นจริง ตามข้อวัตรปฏิบัติ ตามธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราตั้งสติของเรา แล้วพยายามฝึกฝนของเรา

สร้างสมบุญญาธิการของเราขึ้นมาให้จิตใจมีที่พึ่ง ให้จิตใจของเรามีที่พึ่ง มีคุณธรรม เห็นไหม นี่ความสะอาดบริสุทธิ์ในใจ ไม่มีใครรับประกันให้ใครได้ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครูบาอาจารย์ของเราท่านไปพยากรณ์ ถ้าท่านได้ผ่านประสบการณ์มา ถ้าประสบการณ์นั้นจริงตามที่ท่านรู้ท่านเห็น ท่านก็ว่าใช่ เพราะท่านได้ล้มลุกคลุกคลานมาก่อน ท่านได้ปฏิบัติมาก่อน

ฉะนั้น เวลาเราไปรายงานท่าน เราไปให้ท่านได้วินิจฉัย ถ้าใช่ ท่านก็บอกว่าใช่ ถ้าไม่ใช่ท่านก็ให้อุบายให้กำลังใจ ให้เราพยายามของเรา เพื่อให้เรามีโอกาสของเรา ปฏิบัติของเรา เห็นไหม ท่านให้กำลังใจ ให้อุบายให้เราแก้ไขของเรา ถ้าแก้ไขเราก็ปฏิบัติของเราตามความเป็นจริงของเราขึ้นมา มีความมุมานะ มีความเข้มแข็ง มีการกระทำของเราขึ้นมา เราจะมีเงาหัว เราไม่ใช่เงาหัวขาดเหมือนคนที่จะสิ้นอายุขัยที่เขาไม่มีโอกาส เรายังมีเงาหัวของเรา

เรามีครูมีอาจารย์ เรามีสัจธรรม มีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระไตรปิฎก เห็นไหม ธรรมและวินัย นี่เรามีที่พึ่งที่อาศัย เราไม่ใช่คนตัวเปล่าเล่าเปลือย จนไม่มีใครจะดูแลเรา เรามี เห็นไหม เราบวชมาเป็นพระ เราเป็นสังฆะ เราเป็นหมู่ชน เราเป็นนักบวชด้วยกัน เราจะดูแลกัน เราจะรักษากันเพื่อคุณประโยชน์กับเรา ในการปฏิบัติ เห็นไหม ตั้งใจจริงตรงนี้ ทำให้จริงตรงนี้ แล้วเราจะมีเงาหัว เอวัง